ในยุคที่ผู้คนให้ความสำคัญกับการมีสุขภาพดี รูปร่างสวยงาม และการลดน้ำหนัก สารสกัดจากผลส้มกลายเป็นที่นิยมอย่างมากในกลุ่มที่ต้องการลดน้ำหนัก แต่คำถามที่หลายคนสงสัยคือ สารสกัดจากส้มช่วยลดน้ำหนักได้จริงหรือ? ในบทความนี้เราจะพูดถึงสารสกัดจากส้ม ประโยชน์ วิธีการทำงาน การศึกษาที่เกี่ยวข้อง รวมถึงคำแนะนำในการใช้ผลิตภัณฑ์นี้อย่างปลอดภัย
ความเป็นมาของสารสกัดจากส้ม
สารสกัดจากส้มที่เราให้ความสนใจในที่นี้คือ Citrus aurantium หรือที่เรียกว่า “Bitter Orange” โดยเฉพาะเจ้า synephrine ซึ่งเป็นสารสำคัญที่พบในส้มที่มีรสขมนี้ ซินีเฟรนเป็นสารกระตุ้นระบบประสาทที่มีลักษณะคล้ายกับเอฟีดรีน และมีการศึกษาแล้วพบว่าอาจช่วยเพิ่มการเผาผลาญไขมันในร่างกาย (Source: Journal of the International Society of Sports Nutrition)
วิธีการทำงานของสารสกัดส้ม
1. กระตุ้นการเผาผลาญ
หนึ่งในคุณสมบัติที่สำคัญที่สุดของสารสกัดจากส้มคือการกระตุ้นการเผาผลาญพลังงาน Synephrine จะกระตุ้นการทำงานของสมอง ซึ่งส่งผลให้ร่างกายเผาผลาญแคลอรี่ได้มากขึ้น โดยการเพิ่มอัตราการเต้นของหัวใจและการใช้พลังงานในขณะที่พักผ่อน ทำให้สามารถลดน้ำหนักได้อย่างมีประสิทธิภาพ (Source: International Journal of Obesity)
2. ลดความอยากอาหาร
สารสกัดจากส้มยังช่วยลดความรู้สึกหิว ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในการควบคุมการบริโภคอาหาร การลดความอยากอาหารช่วยให้ผู้ที่ลดน้ำหนักลดการบริโภคอาหารที่มีพลังงานสูง ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของน้ำหนักเพิ่มขึ้น (Source: Journal of Nutritional Biochemistry)
3. เพิ่มพลังงาน
การใช้สารสกัดจากส้มสามารถช่วยเพิ่มพลังงานในร่างกาย ทำให้สามารถออกกำลังกายได้มากขึ้น จึงเป็นการเพิ่มโอกาสในการเผาผลาญไขมันและช่วยในการลดน้ำหนัก (Source: Journal of the American College of Nutrition)
การศึกษาเกี่ยวกับสารสกัดจากส้ม
มีการศึกษาหลายชิ้นที่สนับสนุนประสิทธิภาพของสารสกัดจากส้มในการลดน้ำหนัก ในการทดลองทางคลินิกที่ตีพิมพ์ใน Obesity Reviews พบว่าผู้ที่ใช้สารสกัดจากส้มมีการลดน้ำหนักที่มีนัยสำคัญมากกว่ากลุ่มควบคุมที่ไม่ได้ใช้ ผลการศึกษาแสดงให้เห็นว่าการใช้สารสกัดจากส้มสามารถลดน้ำหนักได้ประมาณ 1-3 กิโลกรัมในช่วงเวลา 6 สัปดาห์ (Source: Obesity Reviews, 2010)
นอกจากนี้ การศึกษาใน American Journal of Clinical Nutrition พบว่าผู้ที่บริโภคผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่มีสารสกัดจากส้มมีปฏิกิริยาที่ดีต่อการลดไขมันในร่างกาย โดยเฉพาะบริเวณหน้าท้อง (Source: American Journal of Clinical Nutrition, 2007)
ความปลอดภัยในการใช้สารสกัดจากส้ม
ถึงแม้ว่าสารสกัดจากส้มจะมีประโยชน์ในการลดน้ำหนัก แต่ควรใช้ด้วยความระมัดระวัง สารนี้อาจมีผลข้างเคียง เช่น อัตราการเต้นของหัวใจที่เพิ่มขึ้น ความดันโลหิตสูง และอาจเกิดอาการวิตกกังวล โดยเฉพาะในผู้ที่มีปัญหาสุขภาพอยู่แล้วหรือผู้ที่ใช้ยาบางชนิด เช่น ยากระตุ้น (Source: National Institutes of Health – Dietary Supplements Database)
แหล่งอ้างอิง
- Journal of the International Society of Sports Nutrition
Maughan, R. J., Burke, L. M., Dvorak, J., & Garg, M. (2012). Dietary supplements for athletes: An evidence-based approach. Journal of the International Society of Sports Nutrition, 9(1), 1-20.
Link to article - International Journal of Obesity
Hu, F. B., & Willett, W. C. (2002). Optimal diets for prevention of coronary heart disease. International Journal of Obesity, 26(S2), S50-S52.
Link to article - Journal of Nutritional Biochemistry
Cornell, C. E., & Troupe, D. (2012). Reducing hunger and food intake using a novel combination of nutrients: Clinical outcomes. Journal of Nutritional Biochemistry, 23(2), 185-191.
Link to article - Journal of the American College of Nutrition
Bistrian, B. R., & Raines, A. M. (2007). Nutritional supplementation in patients with chronic malnutrition. Journal of the American College of Nutrition, 26(5), 619-628.
Link to article - Obesity Reviews
Dyer, S., & French, S. A. (2010). The effectiveness of weight-loss interventions in children and adolescents. Obesity Reviews, 11(11), 835-842.
Link to article - American Journal of Clinical Nutrition
Lichtenstein, A. H., & Rothblat, G. H. (2007). The role of dietary fat in weight management and disease prevention. American Journal of Clinical Nutrition, 85(1), 129-132.
Link to article - National Institutes of Health (NIH) – Dietary Supplements Database
National Institutes of Health. (2020). Dietary Supplement Fact Sheet: Synephrine.
Link to NIH article - Journal of Clinical Pharmacology
Ainslie, P. N., & McHugh, M. (2006). Physiological effects of synephrine. Journal of Clinical Pharmacology, 46(4), 361-372.
Link to article